เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
ป้ายโฆษณา ช่วยทำให้สินค้าหรือบริการของคุณสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ซึ่งจัดอยู่ในสื่อโฆษณากลางแจ้งรูปแบบโปสเตอร์ บอลบอร์ด ไวนิล ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ก่อนติดตั้งป้ายโฆษณาคุณต้องวิเคราะห์หาทำเลที่เหมาะสมจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายก่อน เช่น การโฆษณากระเป๋าแบรนด์เนม หากต้องประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้ารับรู้กระเป๋าแบรนด์เนมตัวใหม่ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายต้องเป็นคนมีฐานะ หรือชื่นชอบกระเป๋าแบรนด์เนมอยู่แล้ว การติดตั้งป้ายโฆษณาควรติดอยู่บนตึกสูงขนาดใหญ่ หรือตามห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โรงแรมสุดหรู ร้านอาหารสุดหรูหรือสถานที่หรูหรา เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด
ป้ายโฆษณาสินค้า ช่วยดึงดูดความสนใจ
ความสำคัญของป้ายโฆษณาคือช่วยดึงดูดความสนใจได้ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ป้ายโฆษณาจะต้องมีขนาดใหญ่ ตัวอักษรหรือรูปภาพชัดเจน สีสันโดดเด่น และข้อความกระชับ โดนใจ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ช่วยทำให้สินค้าหรือบริการของคุณเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคได้ดีขึ้น ทำไมป้ายโฆษณาถึงได้รับความสนใจเพราะถ้าให้เลือกระหว่างการอ่านป้ายโฆษณา กับโบชัวร์ แน่นอนว่าผู้บริโภคย่อมสนใจสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนและโดดเด่นมากกว่า อีกทั้งเวลาที่มีจำกัด บวกกับการใช้ชีวิตที่เร่งรีบของคนยุคใหม่ ทำให้ป้ายโฆษณาได้รับความสนใจมากกว่าโบชัวร์นั่นเอง
ต้นทุนต่ำ
การทำป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ หลายคนสงสัยว่าต้นทุนจากต่ำจริงหรือ เพื่อให้คุณมองเห็นภาพชัดขึ้น การลงทุนทำป้ายโฆษณา 1 ชิ้น จริงๆ แล้วแพงกว่าสื่ออื่นๆ เสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเทียบระหว่างจำนวนที่ต้องผลิตกับคุณภาพ การทำป้ายโฆษณาขนาดใหญ่นั้นคุ้มกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าด้วย อย่างเช่น ถ้าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณมี 3 แสนคน คุณทำป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ อาจใช้เงินลงทุนประมาณ 1 แสนบาท ถ้าเทียบกับการทำโบว์ชัวร์ใบละ 2 บาท คุณจะมีต้นทุนมากถึง 6 แสนบาทเลยทีเดียว ดังนั้น การทำป้ายโฆษณาจึงช่วยลดต้นทุนได้มากกว่า ยิ่งถ้าป้ายโฆษณาทำจากวัสดุคุณภาพดีก็จะยิ่งอยู่ได้นานขึ้นและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
รู้หรือไม่? ป้ายโฆษณาแบบไหน เสียภาษีถูกกว่ากัน
ส่วนประกอบสำคัญของการทำธุรกิจขึ้นมาสักหนึ่งอย่าง นอกจากการตั้งชื่อร้านที่เหมาะสมแล้ว การติดตั้งป้ายชื่อร้านชื่อธุรกิจ ไปจนถึงป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยดึงดูดและทำให้ลูกค้าสนใจในตัวสินค้าและบริการของเราเพิ่มมากขึ้นก็ได้ ช่วยให้หน้าร้านดูสวยงาม และยังเป็นการแจ้งบอกตำแหน่งที่ตั้งของธุรกิจด้วย
แต่ใช่ว่านึกอยากจะขึ้นป้ายอะไร ก็สามารถติดตั้งได้เลยนะ หากไม่ศึกษาให้ดีก่อน ระวังอาจเจอภาษีป้ายราคาสูงลิ่วแบบไม่ทันตั้งตัวก็ได้ วันนี้เราจึงพามาทำความรู้จักกับระเบียบการขออนุญาตติดตั้งป้าย จนถึงอัตราค่าภาษีป้ายกัน
- ป้ายที่ไม่มีอักษรไทย หรือป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ
หากเป็นข้อความคงที่ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จะคิดภาษีป้ายในอัตรา 50 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
หากเป็นข้อความเคลื่อนที่ได้ เปลี่ยนแปลงได้ เช่น ป้ายไฟ จะคิดภาษีในอัตรา 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
โดยป้ายทุกประเภทเมื่อคำนวณพื้นที่ของป้ายแล้ว ถ้ามีอัตราที่ต้องเสียภาษีต่ำกว่าป้ายละ 200 บาท ให้เสียภาษีป้ายละ 200 บาทเป็นขั้นต่ำ
สรุป
จากข้อมูลที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น จึงพอสรุปได้ว่าถ้าเลือกใช้ภาษาไทยล้วนราคาจะถูกที่สุด (ประเภทที่ 1) ถ้าเป็นภาษาอังกฤษล้วนหรือมีภาษาไทยผสมด้วย แต่จะอยู่ข้างล่างภาษาอังกฤษจะเป็นประเภทที่มีราคาแพงที่สุด (ประเภทที่ 3)
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใดร้านค้าหรือธุรกิจต่างๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษใส่ลงไปในป้ายด้วยนั้น มักจะชอบใส่ภาษาไทยตัวเล็กๆ ไว้อยู่มุมบนของป้าย ก็เพื่อลดการจ่ายภาษีให้ถูกลงมานั่นเอง (ประเภทที่ 2)
ป้ายที่ได้รับยกเว้นภาษี
ใช่ว่าจะมีแต่ป้ายที่ต้องเสียภาษีเท่านั้น ยังมีป้ายอีกหลายประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษี โดยในที่นี่จะขอกล่าวถึงเฉพาะป้ายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจเท่านั้น ได้แก่
- ป้ายที่ติดตั้งในอาคาร (รวมถึงป้ายร้านค้าต่างๆ ในห้างสรรพสินค้าด้วย แต่ต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 3 ตร.ม.)
- ป้ายที่มีล้อเลื่อน (ต้องมีการเลื่อนป้ายเข้าออก)
- ป้ายจัดงานอีเวนต์
- ป้ายโรงมหรสพ
- ป้ายที่แสดงไว้ที่ตัวสินค้า
- ป้ายธุรกิจการเกษตร ซึ่งมีการค้าผลผลิตจากการทำเกษตรของตนเอง